NOBLE โชว์ยอดขาย 7 เดือน ทุบสถิติแตะ 12,540 ล้านบาท และมี Backlog ในมือกว่า 21,000 ล้านบาท
บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) โชว์ฟอร์มยอดขาย (Pre-sale) 7 เดือนแรกฉลุย ทำนิวไฮทุบสถิติสูงเป็นประวัติการณ์แตะ 12,540 ล้านบาท หนุน Backlog พุ่ง 21,000 ล้านบาท รับอสังหาริมทรัพย์ฟื้น มั่นใจปีนี้รายได้เติบโตจากโครงการที่กำลังจะสร้างเสร็จ 5 โครงการและมี Backlog ในมือกว่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า จะรับรู้ได้ในปี 2565 เป็นจำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท เล็งเปิดตัวโครงการใหม่ทาวน์โฮม โนเบิล เคิร์ฟ โซนเอกมัย-รามอินทรา มูลค่ากว่า 3,800 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวล ลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้เริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน หลังจากสถานการณ์ของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ Sentiment รวมถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนได้จาก ยอดขาย (Pre-sale) ของ NOBLE ในช่วง 7 เดือนแรก 2565 ที่สามารถสร้างยอดขายแตะระดับ 12,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยอดขายดังกล่าวถือเป็นการสร้างการเติบโตที่ทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาส (New Highs) และที่สำคัญยังเป็นการเติบโตสูงกว่าปี 2564 ทั้งปีที่มียอดขายที่ระดับ 8,035 ล้านบาท
สำหรับ ยอดขายในช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงจำนวน 10,062 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม Low Rise จำนวน 2,478 ล้านบาท ทั้งนี้หากแบ่งยอดขายดังกล่าวเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) เป็นจำนวน 1,286 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่รวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นจำนวน 11,254 ล้านบาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 23,100 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดขาย (Pre-sale) เฉลี่ยกว่า 50% แล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการเดิมที่สร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล โครงการนิว คอนเน็กซ์ เฮาส์ ดอนเมือง และโครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 เป็นต้น
ทั้งนี้ จากยอดขายดังกล่าวในข้างต้นส่งผลให้ยอดขายรอโอน (Backlog) ในมือของ NOBLE เติบโตทะลุระดับ 21,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องไปใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะรับรู้ได้ในปี 2565 เป็นจำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท ยอดขายรอโอนดังกล่าวทำให้บริษัทฯ เชื่อว่าปีนี้จะสามารถสร้างรายได้เติบโตมากกว่าปี 2564 และในปี 2566 จะเห็นการเติบโตของรายได้แตะที่ระดับ 15,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากยอด Backlog ที่มีมูลค่าสูงดังกล่าวจะเป็นตัวการันตีได้ว่าหลังจากนี้บริษัทฯ จะมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องโดยจะส่งผลให้บริษัทฯมีความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในระยะยาว
สำหรับ ภาพรวมด้านผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,540 ล้านบาท หรือลดลง 48% YoY และมีขาดทุนสุทธิ 21 ล้านบาท หรือลดลง 103% YoY ขณะที่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,043 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 14 ล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทฯ ไม่มีโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอน ทั้งนี้โครงการที่รับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 มาจากโครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการนิว แจ้งวัฒนะ โครงการนิว คอนเน็กซ์ เฮ้าส์ ดอนเมือง และโครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล เป็นต้น ซึ่งทั้ง 4 โครงการเป็นโครงการเดิมที่โอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2564
นายธงชัย กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทฯ ในปี 2565 (กรกฎาคม-ธันวาคม) จะมีทิศทางการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการทยอยส่งมอบโครงการที่มีกำหนดสร้างเสร็จใหม่ เช่น โครงการโนเบิล สเตท 39 โครงการนิว งามวงศ์วาน โครงการนิว ศรีนครินทร์-ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา อีกทั้งยังมีโครงการแนวราบที่เตรียมส่งมอบพร้อมกับการเปิดขาย เช่น โครงการนิว คอนเน็กซ์ เฮาส์ ดอนเมือง โครงการโนเบิล เคิร์ฟ โครงการโนเบิล คูเรท และโครงการนิว โคฟ นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยจะประเดิมด้วยโครงการ “โนเบิล เคิร์ฟ” เป็นโครงการทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ “Urban Home” ใจกลางเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ในระดับราคา 12-30 ล้านบาทต่อยูนิต โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 3,800 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวภายในเดือนสิงหาคมนี้
“ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มดีขึ้น การผ่อนคลายของมาตรการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดี ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการตอบรับในโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ ที่ดีตามลำดับ รวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวก็ส่งผลดีต่อ Sentiment ของคนในประเทศด้วย ซึ่งจะเข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและรายได้ของคนในประเทศ อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะช่วยผลักดันกำลังซื้อจากต่างชาติเข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนที่ยังคงมีการสอบถามเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ เมียนมาร์ และยุโรปที่มีความต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ถือเป็นตลาดที่มาช่วยในช่วงที่ประเทศจีนยังไม่เปิดประเทศเต็มที่”